แปลเพลง Colors – Halsey

Colors – Halsey

เธอนั้นเป็นสีแดงและเธอชอบฉันเพราะฉันนั้นคือสีน้ำเงิน
ในยามที่สัมผัสฉัน สิ่งที่เธอทำนั้นเปลี่ยนฉันให้กลายเป็นสีม่วงไลแลค
แต่หลังจากนั้นเธอกลับรู้สึกว่าสีม่วงนั้นมันไม่ใช่สำหรับเธอ……

 

ป.ล. อ่านคำแปลขยายความได้ท้ายคำแปลนะจ้ะ อยากให้อ่านจริงๆ *พูดจบก็กลับไปเล่นเอ็มวีกับเซบบี้ต่อไป*

Your little brother never tells you but he loves you so
You said your mother only smiled on her TV show
You’re only happy when your sorry head is filled with dope
I hope you make it to the day you’re 28 years old

น้องชายของเธออาจจะไม่เคยบอกเธอแต่เขาก็รักเธอนะ
เธอบอกว่าแม่เธอจะยิ้มก็ต่อเมื่อออกทีวี
เธอมีความสุขก็ต่อเมื่อเธอเมาสุดๆ เท่านั้น
ฉันหวังว่าเธอจะมีอายุถึงยี่สิบแปดนะ

You’re dripping like a saturated sunrise
You’re spilling like an overflowing sink
You’re ripped at every edge but you’re a masterpiece
And now you’re tearing through the pages and the ink

เธอนั้นหยาดเยิ้มเหมือนกับแสงอาทิตย์ที่อาบชะโลมร่างในยามเช้า
ท่วมท้นราวกับน้ำที่ไหลทะลักยามที่อ่างน้ำนั้นเอ่อล้น
สภาพของเธอนั้นแหลกสลายยับเยินแต่ก็ยังคงผลงานอันงดงามสำหรับฉัน
และตอนนี้เธอก็ค่อยๆ เปิดเผยมันออกมาผ่านกระดาษและน้ำหมึกนั่น

Everything is blue
His pills, his hands, his jeans
And now I’m covered in the colors
Pulled apart at the seams
And it’s blue
And it’s blue

ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นสีน้ำเงิน
ทั้งยา มือ กางเกงยีนส์ของเขา
และตอนนี้ตัวฉันก็ถูกอาบไปด้วยสี
ถูกฉีกเป็นชิ้นในยามที่ทุกอย่างหลอมรวมกัน
และเป็นสีน้ำเงิน
สีน้ำเงิน…..

Everything is grey
His hair, his smoke, his dreams
And now he’s so devoid of color
He don’t know what it means
And he’s blue
And he’s blue

ทุกอย่างนั้นเป็นสีเทา
เรือนผม ควันบุหรี่ ความฝันของเขา
และตอนนี้เขาก็ปราศจากสีสัน
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่านั่นหมายถึงอะไร
และหัวใจของเขาก็มืดมน
หม่นหมองไร้ซึ่งสีสันใดๆ

You were a vision in the morning when the light came through
I know I’ve only felt religion when I’ve lied with you
You said you’ll never be forgiven ’til your boys are too
And I’m still waking every morning but it’s not with you

เธอคือภาพภวังค์ในตอนเช้ายามที่แสงส่องเข้ามา
ฉันรู้ดีว่าตัวเองจะเชื่ออย่างสุดหัวใจในยามที่นอนอยู่ข้างเธอเท่านั้น
เธอบอกว่าเธอจะไม่มีวันได้รับการยกโทษจนกว่าเพื่อนๆ ของเธอจะได้
และทุกวันนี้ฉันก็ยังคงลืมตาตื่นขึ้นมาตอนเช้าแต่ไม่มีเธอนอนอยู่เคียงข้าง

You’re dripping like a saturated sunrise
You’re spilling like an overflowing sink
You’re ripped at every edge but you’re a masterpiece
And now I’m tearing through the pages and the ink

เธอนั้นหยาดเยิ้มเหมือนกับแสงอาทิตย์ที่อาบไล้ร่างในยามเช้า
ท่วมท้นราวกับน้ำที่ไหลทะลักยามที่อ่างน้ำนั้นเอ่อล้น
สภาพของเธอนั้นบุบสลายแต่ก็ยังคงผลงานอันงดงามสำหรับฉัน
และตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างในตัวฉันก็ค่อยๆ เผยออกมาผ่านกระดาษและน้ำหมึกนั่น

Everything is blue
His pills, his hands, his jeans
And now I’m covered in the colors
Pulled apart at the seams
And it’s blue
And it’s blue

ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นสีน้ำเงิน
ทั้งยา มือ กางเกงยีนส์ของเขา
และตอนนี้ตัวฉันก็ถูกอาบไปด้วยสี
ถูกฉีกเป็นชิ้นในยามที่ทุกสิ่งหลอมรวมกัน
และทุกอย่างนั้นก็หมองหม่น
โศกเศร้า มืดมน ไร้ซึ่งความสุข…..

Everything is grey
His hair, his smoke, his dreams
And now he’s so devoid of color
He don’t know what it means
And he’s blue
And he’s blue

ทุกอย่างนั้นเป็นสีเทา
เรือนผม ควันบุหรี่ ความฝันของเขา
และตอนนี้เขาก็ปราศจากสีสัน
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่านั่นหมายถึงอะไร
และหัวใจของเขาก็มืดมน
หม่นหมองไร้ซึ่งสีสันใดๆ

Everything is blue
Everything is blue
Everything is blue
Everything is blue

ทุกอย่างนั้นนั้นหมองหม่น…..

You were red and you liked me ’cause I was blue
You touched me and suddenly I was a lilac sky
And you decided purple just wasn’t for you

เธอนั้นเป็นสีแดงและเธอชอบฉันเพราะฉันนั้นคือสีน้ำเงิน
ในยามที่สัมผัสฉัน สิ่งที่เธอทำนั้นเปลี่ยนฉันให้กลายเป็นสีม่วงไลแลค
แต่หลังจากนั้นเธอกลับรู้สึกว่าสีม่วงนั้นมันไม่ใช่สำหรับเธอ

Everything is blue
His pills, his hands, his jeans
And now I’m covered in the colors
Pulled apart at the seams
And it’s blue
And it’s blue

ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นสีน้ำเงิน
ทั้งยา มือ กางเกงยีนส์ของเขา
และตอนนี้ตัวฉันก็ถูกอาบไปด้วยสี
ถูกฉีกเป็นชิ้นในยามที่ทุกอย่างถูกรวมกัน
และทุกอย่างนั้นก็หมองหม่น
โศกเศร้า มืดมน…..

Everything is grey
His hair, his smoke, his dreams
And now he’s so devoid of color
He don’t know what it means
And he’s blue
And he’s blue

ทุกอย่างนั้นเป็นสีเทา
เรือนผม ควันบุหรี่ ความฝันของเขา
และตอนนี้เขาก็ปราศจากสีสัน
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่านั่นหมายถึงอะไร
และหัวใจของเขาก็มืดมน
หม่นหมองไร้ซึ่งสีสันใดๆ

Everything is blue
Everything is blue
Everything is blue
Everything is blue

ทุกอย่างผันเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน
ทุกสิ่งรอบกายกลายเป็นความโศกเศร้า
มืดมน
เป็นสีน้ำเงิน….

Note: Colors – Halsey
From 
genius.com
Translated by
Musicsaying

บริบทที่ซ่อนอยู่ในเนื้อเพลงที่เกี่ยวกับ ‘ครอบครัว’ และ ‘การเสพติด’ เป็นสิ่งที่เชื่อมโยงว่าเพลง

Colors

นั้นพูดถึง
Matty Healy จากวง

The 1975

ในเดือนตุลาคมปี 2015 Halsey ได้พูดถึงเรื่องการพบกันของเธอและ Matty ในงานรวมตัวครั้งหนึ่งและยังได้กล่าวถึงเขาว่าเป็นมีอิทธิพลกับเธออีกด้วย

Billboard

ได้หยิบยกชื่อของเขาขึ้นมาในระหว่างการสัมภาษณ์โดยถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอและเขาซึ่ง Halsey ได้ตอบกลับไปว่า

“เราทุกสองคนนั้นมักจะถูกคนที่มีบุคลิกไม่เหมือนใครดึงความสนใจไปเสมอ และพวกเราก็เห็นบุคลิก
    นั้นในกันและกัน ฉันใช้เวลาเนิ่นนานในการเฝ้ามองเขาและเขาก็ชอบที่จะได้ถูกมองแบบนั้น แต่ถ้า           หากคุณคิดว่าเขาคือหนุ่มร็อกเกอร์ในสกินนี่ยีนส์นั่งจิบไวน์แดงคนแรกที่ฉันเดทด้วยล่ะก็…..คุณน่ะ           ไม่รู้อะไรเลยซักนิดเดียว”


เพลงนี้พูดถึง Matty Healy นักร้องนำวง The 1975 โดยเนื้อเพลงในท่อนนี้หมายถึง Louis น้องชายของ Matty ที่เขาได้แต่งเพลง
“Is There Somebody Who Can Watch You?” ถึง ในเพลงที่ Matty แต่งถึงน้องชาย เขาได้บรรยายความรู้สึกผิดที่ไม่ได้ใช้เวลากับน้องชายของตนให้มากพอ โดยในเพลง Colors นี้ Ashley (ชื่อจริงของ Halsey) ได้พยายามให้กำลังใจเขา
Denise แม่ของ Matty เคยเป็นดาราในรายการทีวี
Loose Women โดยเธอได้ต่อสู้กับอาการซึมเศร้าหลักจากที่คลอด Matty ออกมา
ในปี 2013 Matty ได้ออกมาเปิดใจเกี่ยวกับการใช้โคเคน (แต่ไม่ได้ใช้เฮโรอีน) โดยในเพลง Colors Halsey ได้ชี้ให้เห็นว่าการที่เขาติดยานั้นได้ทำให้เขาหลงเข้าไปในหนทางที่ย่ำแย่เพราะความสุขเดียวที่
Matty รู้จักนั้นเกิดจากอาการเมาจากการใช้ยาซึ่งมีแต่ผลร้ายต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจที่เสื่อมโทรมของเขา

The 27 Club

นั้นคือคลับของคนในวงการดนตรีชื่อดังมากมายที่เสียชีวิตในวัย 27 ปีจากการใช้ยา เช่น
Kurt Cobain, Jim Morrison, Janis Joplin, Amy Winehouse และอีกมากมาย
คำว่า “หยาดเยิ้ม” และ “เอ่อล้น” นั้นทำให้เราเห็นภาพของสีเป็นของเหลว สีในตัว Matty นั้นเอ่อล้นออกมาจากตัวเขา ผสมปนเปไปกับสีของ Halsey ก่อนจะเปลี่ยนเธอให้กลายเป็นสีที่เขาไม่ต้องการ ( lilac) โดยเธอเองก็ด่ำดิ่งลงไปในบุคลิกของ Matty ที่มีอิทธิพลต่อเธอ
“แสงอาทิตย์” และ “สายน้ำ” นั้นเชื่อมโยงกับสีของ Halsey และคนรักของเธอ (แสงอาทิตย์คือสีแดง สายน้ำคือสีน้ำเงิน)


การที่สีแดงอย่างเธอและสีน้ำเงินอย่างเขามาผสมกันทำให้เห็นว่าตัวเขากลายเป็นสีม่วง โดยเขาเองก็เปลี่ยนไปเพราะความสัมพันธ์นี้เช่นกัน นอกจากนี้แล้วแสงอาทิตย์และสายน้ำยังทำให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างไฟและน้ำซึ่งหมายถึงความแตกต่างกันของคนสองคนอีกด้วย


ถึงแม้ว่าเขาจะถูกเปรียบเปรยเป็นสิ่งแหลกสลาย (จากการใช้สารเสพติดและอดีตที่สับสนของเขา) แต่สำหรับเธอแล้ว เขายังคงเป็นผลงานชิ้นงามเสมอ
เธอรู้จักตัวตนของเขามากขึ้นเรื่อยๆ ผ่านทางความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง เริ่มวางตัวอยู่ในอารมณ์และความรู้สึกของเขาในยามที่เขาเผยตัวตนออกมาเรื่อยๆ
(เหมือนน้ำหมึกที่ซึมลงบนกระดาษ) เพื่อที่จะเข้าใจเขาและนี่คือเหตุผลที่ทำให้เธอยิ่งคิดว่าเขาคือผลงานศิลปะที่งดงาม


ในช่วงท้ายของเพลง Halsey ได้เปิดเผยว่าสีน้ำเงินนั้นเป็นตัวแทนของเธอ และเมื่อสีน้ำเงินและแดงมาผสมกันก็ได้กลายเป็นสีม่วง
(ในทางตรงคือพวกเขาทั้งคู่ได้หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว) ในเพลงนี้เธอได้ย้ำถึงการที่เขาได้หลอมรวมและดื่มด่ำกับเธอและความรักของเธอที่มีให้เขา นอกจากนั้นยังได้พูดให้เห็นถึงสิ่งต่างๆ ที่ไม่เหมือนใครในตัวเขาอย่างกางเกงยีนส์และการใช้ยาของเขา
เมื่อพวกเขาได้รวมเข้าด้วยกันแล้ว สีน้ำเงินและแดงก็ได้ผสมกัน การที่เธอได้จมลงไปในโลกของเขานั้นทำให้เธอแหลกสลายจากการที่เธอหลงไหลชื่นชมเขาและการสูญเสียตัวตนของตัวเองไป 


ในท่อน bridge Halsey พูดถึงการที่เธอได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับเขานั้นนับเป็นตัวที่ทำลายความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคน หลังจากที่เขาเปลี่ยนเธอ เขาก็ไม่ต้องการเธออีกต่อไปถึงแม้ว่าเขาจะสาเหตุที่ทำให้เธอถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ในยามที่สีของพวกเขาทั้งคู่หลอมรวมกัน


The 1975 นั้นขึ้นชื่อเรื่องสไตล์ขาวและดำที่น่าหลงไหลซึ่งประเด็นนี้เองเป็นตัวอธิบายถึงลักษณะตัวตนของ Matty ที่เป็นสีเทา ไร้สีสัน ในแต่ละแง่มุมของเขาได้แสดงถึงความมืดมิดในจิตใจและความลึกลับที่ปลดปล่อยออกมาจากตัวเขาผ่านเนื้อเพลง และถึงแม้ว่าในเพลง Colors ของ Halsey จะเปรียบเขาเป็นเหมือนกับสีแดง Matty นั้นก็ได้ดมดิ่งลงไปในวิถีชีวิตที่ดำมืดของตัวเอง ทำให้เขาปราศจากสีสันใดๆ นอกจากนี้แล้วเขายังเป็น
สีน้ำเงิน ซึ่งในที่นี้หมายถึงความโศกเศร้า ความไม่แน่นอนและการหลงหายไปในพยายามที่จะเข้าใจว่าความว่างเปล่านี้มาจากไหน


เขามีปีศาจเป็นของตัวเอง (เชื่อมโยงกับเพลง Coming down ของ Halsey) ครอบครัวแตกแยกหลังจากที่พ่อแม่หย่ากันและเขาก็ต้องรับมือกับการติดยาของตัวเอง
นอกจาก Matty แล้ว สีน้ำเงินยังสามารถหมายถึง Halsey ซึ่งจากการแปลความนี้นั้นสามารถหมายถึงการที่ Matty ได้หลอมรวมและซึมซับความรัก ความรู้สึกและสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในใจของเธอได้อีกด้วย


ศาสนานั้นเป็นเรื่อง Matty ไม่เคยกลัวที่จะพูดถึง ในบทสัมภาษณ์หนึ่งที่เขาได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้ Matty นั้นคิดว่าศาสนามันเป็นเหมือนโรคร้าย ส่วน Halsey นั้นไม่เคยกังขาที่จะเชื่อหรือวางใจในสิ่งใด แต่เมื่อไหร่ที่เธอมีเขาอยู่ข้างๆ เธอกลับถูกทำให้เชื่อว่าพวกเขาทั้งคู่สามารถอยู่ด้วยกันได้ถึงแม้มุมมองความคิดจะแตกต่างกันก็ตาม


ท่อนต่อมาได้พูดถึงเรื่องของศาสนาและการให้อภัย ชี้ให้เห็นว่า Matty และเพื่อนของเขาจากวง The 1975 (ในที่นี้ใช้คำว่า
My boys) นั้นมีบาป

ตลอดเวลาที่เขาและเธออยู่ร่วมกัน กิจวัตรในแต่ละวันจะเริ่มเหมือนเดิมทุกครั้งนั่นคือพวกเขาจะตื่นขึ้นมาข้างๆ กันในตอนเช้า แต่ตอนนี้เขาไม่อยู่กับเธอแล้ว ถึงอย่างนั้นเธอและความเสียใจนั้นยังคงอยู่ ทำให้เธอคิดถึงช่วงเวลาและสิ่งต่างๆ ที่เธอและเขาเคยมีร่วมกัน
ให้สังเกตว่าทั้งท่อนนั้นใช้คำในช่วงอดีตทั้งหมดเช่น were และ said ยกเว้นในช่วงสุดท้ายของท่อนนี้ เธอคร่ำครวญห้วงเวลาในอดีอย่างขมขื่น
ทั้งยังรู้อีกด้วยว่าช่วงเวลานั้นจะไม่มีอีกแล้ว ชีวิตของเธอจะแตกต่างไปจากเดิมเพราะเขาไม่ได้นอนอยู่เคียงข้างเธอในยามที่เธอลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้าอีกต่อไป
Halsey ได้อธิบายถึงเนื้อเพลงท่อนนี้ใน VEVO Ask:Reply session ว่า

มันพูดถึงคนคนนึงที่ได้รับอิทธิพลจากคนรักในความสัมพันธ์ของพวกเขา และตัวคนรักก็ทิ้งคนคนนั้นไปเพราะเจ้าตัวได้กลายไปเป็นคนที่….คนที่คนรักของตัวเองทำให้กลายเป็นแบบนั้น เนื้อเพลงนี้        ถือเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับฉันโดยตรงเลยล่ะค่ะ….


เมื่อสีแดงมาผสมกับน้ำเงินนั้นจะทำให้เกิดสีม่วง และสีม่วงนั้นถือเ็นสีลำดับที่สองที่จะต้องเกิดจากแม่สีอย่างน้ำเงินและแดงมาผสมกันเท่านั้น
Halsey ได้แทนตัวของเธอและ Matty เป็นสีสองสีที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง เมื่อพวกเขา
สัมผัสกัน สีทั้งสองนั้นก็ผสมและเธอก็กลายเป็นสีม่วงไลแลค (สีโทนม่วงสว่าง)  สิ่งที่เขาเป็นนั้นค่อยๆ


เผยออกมาและเมื่อเขารู้ว่าเธอได้เปลี่ยนไป เขาก็คิดว่าเธอนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
“Feeling blue” นั้นสื่อถึงการที่คนคนหนึ่งนั้นจมอยู่ในความโศกเศร้า โดยในเพลงนี้สื่อให้เห็นว่าเธอนั้นจมอยู่กับความเสียใจเมื่อเสียเขาไป
ถูกเขาทำร้ายชีวิตและจิตใจจนเสียสูญไป